เพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ขององค์กร
อาจเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า Mindset!
‘Skillset’ อาจเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่จะเติมเต็มให้คนแตกต่างนั่นก็คือ ‘Mindset’ เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมพนักงานบางคนถึงไปได้ไกลและเติบโตได้เร็วกว่าคนอื่น? และทำไมบางคนเก่งแต่ไม่โต? นั่นเป็นเพราะว่า พนักงานกลุ่มแรกมีกรอบความคิดแบบ Growth Mindset นั่นเอง มาดูกันว่า การปลูกฝังให้พนักงานมี Growth Mindset จะช่วยให้พวกเขาขับเคลื่อนองค์กรให้สำเร็จได้อย่างไร
พนักงานที่มีความคิดแบบ Growth Mindset มักมองความล้มเหลวเป็นการเรียนรู้ และกล้านำความผิดพลาดมาปรับปรุงแก้ไข เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในครั้งต่อๆไป คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ กว่าที่พวกเขาจะไปถึงฝั่งฝันล้วนผ่านความล้มเหลวมาก่อนทั้งนั้น เช่น โอปราห์ วินฟรีย์ ที่ถูกไล่ออกจากงานผู้ประกาศข่าว เพราะโปรดิวเซอร์คิดว่าเธอ “ไม่เหมาะที่จะอยู่ในข่าวทีวี” ก่อนจะกลายเป็นเจ้าของทอล์กโชว์ที่ดังไปทั่วโลก
พนักงานที่มี Growth Mindset จะหาโอกาสในการเรียนรู้เสมอ และนิสัยการเรียนรู้นี่เอง ที่มักจะพาไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีงานวิจัยยืนยันว่า คนที่ประสบความสำเร็จ กว่า 85% อ่านหนังสือพัฒนาตนเองหรือหนังสือเกี่ยวกับการศึกษา อย่างน้อย 2 เล่มต่อเดือน และผู้บริหาร 30% มีความเห็นว่า ความตั้งใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คือลักษณะนิสัยของลูกจ้างที่จะประสบความสำเร็จอีกด้วย
พนักงานที่มี Growth Mindset จะไม่หยุดที่จะผลักดันตัวเอง ให้ไปได้ไกลกว่าที่เคยทำได้ มีงานวิจัยหนึ่ง ที่ให้ผู้เข้าร่วมปั่นจักรยานให้เหนื่อยที่สุดเป็นระยะทาง 4,000 เมตร และหลังจากนั้นก็ให้ปั่นจักรยานแบบเดิม แต่ครั้งนี้เป็นการแข่งกับการปั่นของตัวเองที่บันทึกไว้ครั้งแรก ปรากฎว่านักปั่นสามารถทำระยะได้ไกลกว่าเดิม จะเห็นได้ว่า เมื่อเราผลักดันตัวเอง เราจะไปได้ไกลกว่าที่ตัวเองคิดเสียอีก
พนักงานที่มี Growth Mindset จะพร้อมรับฟัง Feedback ที่ช่วยพัฒนาพวกเขาได้ เพราะคนที่อยากจะเติบโต จะสนใจและชอบที่จะท้าทายตัวเองให้เก่งขึ้น โดยที่ไม่กลัวคำวิจารณ์หรือถูกตัดสิน พวกเขาจึงมักจะประสบความสำเร็จ เพราะกล้าที่จะนำคำวิจารณ์จากผู้อื่นมาพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่เรานั้นต่างไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ได้เพียงลำพัง ในแต่ละวัน เราใช้ชีวิต ติดต่อพูดคุย และทำงานร่วมกับผู้คนมากมายอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่เคยเป็นไหม? ที่การทำงานติดขัด อึดอัดใจ เกิดความขัดแย้ง รู้สึกไม่ถูกกชะตากับเพื่อนร่วมงาน หลายครั้งที่อาจได้ผลลัพธ์จากงาน แต่กลับไม่สบายใจ สุดท้ายกลายเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกและบ่อนทำลายความสัมพันธ์ในระยะยาว หลายคนทนกับปัญหาเหล่านี้ไม่ไหวก็เลือกที่จะลาออกไปเพื่อให้ทุกอย่างจบสิ้น แต่พอได้ย้ายไปที่ใหม่ ปัญหาเดิมๆ ก็กลับมาให้ปวดหัว ปวดใจอีกเช่นเคย อริญญา เถลิงศรี Chief Capability Officer & Managing Director – SEAC ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า บางครั้ง คนที่จะเริ่มปรับเปลี่ยนอาจเป็นตัวเราก่อน เริ่มมองและทำความเข้าใจที่มุมมองความคิดของตัวเราก่อน บางทีแค่ปรับ Mindset หรือทัศนคติต่อสิ่งต่างๆ ก็สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์และทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะมุมมองความคิดคือฟันเฟือนขับเคลื่อนพฤติกรรมที่เราแสดงออกไป ซึ่งมีส่งผลต่อผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง Outward Mindset ซึ่งคือวิธีคิดที่ช่วยให้เราเปิดกว้างในเรื่องการเรียนรู้จากคนหลากหลายแบบบนโลกใบนี้ ที่อาจไม่ได้ถูกจริต ต้องชะตากันเสมอไป ไม่ได้เห็นด้วยกับเรา 100% ในทุกเรื่องเพราะแต่ละคนมีโจทย์ชีวิตที่แตกต่างกัน แต่การมีวิธีคิดเช่นนี้จะทำให้เราเห็นความสำคัญของทุกคน เห็นผลประโยชน์สูงสุดร่วมกัน เพิ่มโอกาสในการเรียนรู้จากคนมากหน้าหลายตาและทำให้เราเรียนรู้ได้ในทุกบริบท ตัวอย่างในกรณีเมื่อ ‘ฉันอยากให้โปรเจคฉันเสร็จ’ หากมีวิธีคิดแบบ Outward เราจะมองเห็นลูกน้องเป็นเพื่อนร่วมงาน ช่วยกันทำงาน แนะนำ ปรับปรุง มองเห็นทีมอื่นเป็นเพื่อน ถ้าส่วนของทีมอื่นติดปัญหา เราจะมองว่ามีอะไรที่เราพอช่วยได้ไหม และมองเห็นข้อดีจากคนที่เห็นต่างจากเรา และมองว่าบางทีมุมของเค้าอาจจะดีในด้านอื่นๆ ก็เป็นได้ ในทางตรงกันข้าม Inward Mindset คือวิธีคิดที่มุ่งเน้นผลลัพธ์และความต้องการของตัวเอง เห็นคนอื่นเป็นเพียงวัตถุ อุปสรรค หรืออากาศธาตุ ตอนที่เราคิดแบบ Inward เราจะมองแค่จาก ‘มุมมองของตัวเอง’ และจะตัดสินว่าเราเป็นฝ่ายถูกเสมอ คนอื่นๆ ผิด ยกตัวอย่างในกรณีเดียวกับข้างต้น เมื่อ ‘ฉันอยากให้งานฉันเสร็จ ‘ ดังนั้น ความคิด Inward ที่วิ่งเข้ามาในหัวคือ ฉันมองเห็นลูกน้องเป็นสิ่งที่ใช้งาน ฉันจึงสั่งงานไม่หยุด มองเห็นทีมอื่นเป็นอุปสรรค และมักคิดว่างานทีมฉันยังไม่เสร็จ โยนมาอีกล่ะ ตลอดจนมองเห็นคนที่ไม่เห็นกับเราว่าเป็นอากาศ จะคิดอย่างไรฉันก็ไม่สน ไม่ใส่ใจในความคิดของคนเหล่านั้น แท้จริงแล้ว ต้นตอของความขัดแย้งในความสัมพันธ์ของมนุษย์คือ Self-deception การหลอกตัวเองหรือการมีความคิดอย่าง Inward กล่าวคือ มองแต่ตัวเอง ต่างฝ่ายต่างคิดต่างมโนในมุมที่แต่ละคนคิด จึงไม่ตรงกัน ขัดแย้งกัน อย่างเช่น ฉันมองว่าฉันโอเค ทำไมเธอถึงไม่โอเคล่ะ อีกมุมหนึ่งก็จะโทษคนอื่นว่า แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมสื่อสารให้ชัดเจนแต่แรกล่ะ เพราะในบางครั้งที่เราไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอะไร ดังนั้น เราอาจจะยังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ และเผลอตกลงไปในกล่องความคิดแบบ Inward การที่เราอยู่ในกล่องนั่นหมายถึงว่าเรากำลังอยู่ในกล่องความคิดของเรา เราโฟกัสกับงานของเราอยู่เท่านั้น และในขณะนั้นหากมีคนเข้ามาปฏิสัมพันธ์กับเรา หรืออาจจะมีโทรศัพท์เข้ามา เราจะมองว่าขอโฟกัสที่งานเราก่อน เราก็เลยจะเมินเฉยคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือขณะนั้นหรือตัดสายนั้นไป จะเห็นได้ชัดว่า ณ เวลานั้น เราไม่ได้มองเขาคนนั้นเป็นคน เรากำลังใส่เลนส์ที่มองคนเป็นวัตถุ โดยที่ไม่แม้แต่จะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม ทั้งนี้ คนๆ หนึ่งมีความคิดทั้งสองแบบนี้ได้ตลอด ไม่จำเป็นว่าจะเป็นคน Outward หรือ Inward อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือคนที่ตอบสนองด้วย หลายคนมักเปิดกว้างกับคนที่ชอบ แต่จะใจแคบกับคนที่เรามีอคติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่หากเราเปิดใจกว้างได้กับทุกคน ทุกสถานการณ์ เราจะมองเห็นสิ่งดีๆ และโอกาสรอบตัวมากขึ้น การเลือกใส่เลนส์ในการมองโลกที่ใช่หรือวิธีคิด (Mindset) ที่เหมาะสม จะช่วยให้เราก้าวสู่เป้าหมายของเราได้ดีขึ้น ลองมาเรียนรู้จาก 4 เทคนิคเปลี่ยนมุมคิดมาเป็นแบบ Outward เพื่อการใช้ชีวิตและการทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็นสุขได้ในทุกสถานการณ์ ได้แก่ การถ่อมตนนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด การที่เราถ่อมตนจะช่วยให้เราเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นว่าอีกฝ่ายอยู่ในสถานการณ์ไหน มีเป้าประสงค์อะไร ต้องการความช่วยเหลืออะไรที่เราสามารถช่วยเหลือได้ หรือหากเราไม่สามารถช่วยได้ในขณะนั้น การใช้คำพูดที่สุภาพนุ่มนวลตอบกลับ อาจจะพูดยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายรอเพื่อให้เราเคลียร์งานที่เร่งตรงหน้าให้จบเสียก่อน ก็ถือเป็นหนึ่งในทางออกที่ได้ผลและไม่ทำให้เกิดความขุ่นเคืองใจต่อกันมุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมที่เกิดผลประโยชน์ต่อส่วนรวม จากตัวอย่างกรณีศึกษาของ Alan Roger Mulally อดีตประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท ฟอร์ดมอเตอร์ ที่สามารถพลิกธุรกิจ Ford ให้กลับมาเฟื่องฟูได้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยช่วงปลายทศวรรษ 2000 คุณ Alan กล่าวถามพนักงานทั้งหมดในบริษัทว่า “เมื่อปัญหาเกิดขึ้นเช่นนี้ขึ้นกับบริษัท ใครจะสามารถเข้ามาช่วยบริษัทคลี่คลายปัญหาเหล่านั้นได้บ้าง?” ซึ่งทำให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจว่าตนเองมีส่วนช่วยบริษัทให้ผ่านวิกฤตไปได้ แต่ละคนมุ่งเป้าไปที่ประโยชน์ขององค์กรโดยรวม เพื่อให้องค์กรแก้ไขปัญหาและอยู่รอดต่อไปได้ขจัดความแตกต่างระหว่างเรากับคนรอบข้าง Outward Mindset คือการลดทอนความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นระหว่างผู้บริหาร ผู้นำองค์กรกับพนักงาน หรือแม้ต่พนักงานด้วยกัน ทุกคนต้องทลายกำแพงและจับมือก้าวเดินไปพร้อมกันด้วยจิตใจที่ว่า “พวกเราจะสู้ไปด้วยกัน” ด้วยความคิดเช่นนี้ ตัวเรา ทีม รวมไปถึงองค์กรก็จะเพิ่มคุณภาพกรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขมากขึ้นอย่ารอให้คนอื่นเปลี่ยนก่อน เราอาจจะคาดหวังว่า คนอื่นก็ต้องเปลี่ยนสิ เค้าไม่เห็นเปลี่ยนเลย เราเปลี่ยนอยู่คนเดียว อันนี้เหมือนเป็นกับดักเลยที่คิดว่าเค้าต้องเปลี่ยน จริง ๆ คนอื่นเขาไม่เปลี่ยน ไม่ต้องไปคาดหวัง ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน จุดที่ยากที่สุดคือ ตัวคุณเองรู้ตัวไหมว่ากำลังตกไปอยู่ในโซน Inward Mindset คุณกำลังมองแต่ในมุมของตัวเองอยู่ พวกเราแต่ละคนก็มีสัญญาณเตือนส่วนตัว ลองคิดดูว่าเวลาคุณเริ่มไม่พอใจ เริ่มเจอปัญหา เริ่มทะเลาะกับคนอื่น หรือเริ่มมีความคิดลบๆ คุณมีอาการแสดงออกยังไง เพียงแค่เรารู้ตัว และอย่างน้อยปรับทีละนิด พยายามที่จะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นและปรับมุมมองว่า เรากับคนอื่นสำคัญเท่าๆ กันทั้งความคิดและจิตใจ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ Mindset ของเราเองที่จะเปลี่ยนไปจาก Inward เป็น Outward นี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว สุดท้าย การปรับให้เราเป็นคน Outward Mindset ไม่ใช่สิ่งที่ดีดนิ้วปุ๊ปปั๊บจะเปลี่ยนได้ทันทีเหมือนหุ่นยนต์ ต้องใช้เวลาฝึกไปวันละนิด ค่อยทำความเข้าใจคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นจุดมุ่งหมายของเขา เขาต้องการอะไร ปัญหาและอุปสรรคของเขาคืออะไร สิ่งนี้ใช้ได้ไม่ใช่แค่ในองค์กร แต่ใช้ได้กับชีวิตส่วนตัว ในความสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วย Outward Mindset ไม่ได้ทำให้พนักงานทำงานดีขึ้นอย่างเดียว แต่ช่วยทำให้พนักงานมีความสุขมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังที่หนังสือ The Outward Mindset กล่าวไว้ว่า “Outward ไม่ใช่การทำทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นอยากให้เราทำ แต่คือการทำในสิ่งที่เราสามารถทำเพื่อผู้อื่นได้”
Growth Mindset VS. Outward Mindsetวิธีคิด 2 แบบต่างกันอย่างไรเป็นคำถามที่ถูกถามบ่อยมากจึงขอแบ่งปันตามที่เข้าใจในมุมคนที่มีโอกาสถ่ายทอด 2 เรื่องนี้และได้อ่านบทความเพิ่มเติมจาก Arbinger1. โฟกัสต่างกันGrowth mindset เน้นที่ Self-view (ฉันมองตัวเองอย่างไร)Outward mindset เน้นที่ how I view others in relation to me (ฉันมองคนอื่นอย่างไรในความสัมพันธ์ที่อยู่ร่วมกัน)2. จุดประสงค์ต่างกันGrowth mindset เน้นที่ Learn & growOutward mindset เน้นที่ Live & work collaboratively3. When Growth meets Outwardอันนี้น่าสนใจค่ะ เพราะมีคำถามว่าเป็นไปได้ไหมที่เรามี Mindset ทั้งสองมิติในคนเดียวกันขอขยายความให้เห็นใน 4 รูปแบบที่เป็นไปได้ดังนี้3.1 Growth + Inward mindset: I'm my own heroคนกลุ่มนี้เชื่อว่าตนเองสามารถเรียนรู้เติบโตแต่อาจจะอยู่บนความลำบากของผู้อื่นเพราะมุ่งมั่นมาก แต่มากจน Blindหรือละเลยความสำคัญของคนรอบข้างไม่ทันเห็นว่าความต้องการตนเองสร้างปัญหาให้คนรอบข้างอย่างไรเป็นแนว Super competitive3.2 Growth + Outward mindset: The beloved coachคนกลุ่มนี้เชื่อว่าตนเองสามารถเรียนรู้เติบโตและให้ความสำคัญกับคนรอบข้างเช่นกันจะมีความพยายามและนำพาหรือสนับสนุนผู้อื่นให้ไปถึงจุดหมายด้วยกันเป็นผู้นำที่มีความสามารถและไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง3.3 Fixed +Inward mindset: The gatekeeperคนกลุ่มนี้เชื่อว่าศักยภาพนั้นมีข้อจำกัดและไม่ตระหนักว่าตนเองนั้นสร้างผลกระทบอะไรกับคนรอบข้างมีแนวโน้มที่จะโฟกัสกับความต้องการหรือปัญหาของตนเองระแวดระวังคำวิจารณ์ที่ทำให้ตนเองรู้สึกไม่ดีขาดการเปิดใจเปิดรับต่อผู้อื่น3.4 Fixed + Outward mindset: The happy camperคนกลุ่มนี้เชื่อว่าศักยภาพมีข้อจำกัดและเห็นว่าผู้อื่นก็มีข้อจำกัด ความต้องการ ความท้าทายไม่ต่างกันมีแนวโน้มที่จะหยุดเมื่อเจอปัญหาหรืออยู่ไปเรื่อย ๆ กับสถานการณ์ท้าทายที่เผชิญอยู่พยายามเข้าใจปัญหาคนรอบข้างแต่อาจจะไม่ได้ช่วยแนะนำหรือชวนให้หาทางออก.🖐คำถามคือ 🖐เราอยากทำงานและใช้ชีวิตกับคนที่มีชุดความคิดแบบไหน เรียบเรียงโดยดร. สิรยา คงสมพงษ์ (วิทยากรและที่ปรึกษาอาวุโสจาก SEAC)